CWT เล่นด้วย…โหนบิตคอยน์ปลุกหุ้น

สุนันท์ ศรีจันทรา
ราคาหุ้นบริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอร์รี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT ซึมๆ ทรงๆ ทรุดๆ แถว 3 บาทเศษมาแรมปี แต่หลังประกาศบริษัทลูกจะตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ หุ้นถูกจุดพลุเก็งกำไร และราคาถูกลากขึ้นไปชนเพดานสูงสุดในทันที

ผู้บริหาร CWT ร่อนเอกสารแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนช่วงบ่ายวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระบุว่า คณะกรรมการบริษัทย่อยมีมติให้ บริษัท ชัยวัฒนา กรีน แมนเนจเม้นท์ จำกัด ดำเนินการขอเพิ่มวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และศึกษาการนำกำลังผลิตส่วนเกินที่เหลืออยู่ของพลังงานหมุนเวียนมาใช้เป็นกรีน บิตคอยน์ ไมนิ่ง

ไม่มีรายละเอียดว่า บริษัทลูกของ CWT จะลงทุนในเหมืองขุดบิตคอยน์วงเงินเท่าไหร่ มีเครื่องขุดจำนวนกี่เครื่อง แต่หุ้น CWT ถูกจุดพลุไล่ราคาทันทีที่เปิดการซื้อขายในช่วงบ่ายวันเดียวกัน จนราคาขึ้นชนเพดานสูงสุด 30% โดยปิดการซื้อขายที่ 4.16 บาท เพิ่มขึ้น 96 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 30%

มูลค่าซื้อขายพุ่ง 545.45 ล้านบาท โดยก่อนหน้าซื้อขายวันละไม่กี่สิบล้านบาทเท่านั้น

CWT เป็นบริษัทจดทะเบียนรายล่าสุดที่โหนกระแสบิตคอยน์ โดยประกาศจัดตั้งเหมืองขุด ผลที่ตามมาคือ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าบริษัทลูกของ CWT จะเริ่มตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์เมื่อใด มีเครื่องขุดกี่เครื่อง และจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มหรือไม่

ราคาหุ้น CWT ที่วิ่งขึ้นอาจเกิดจากนักลงทุนรายย่อยแห่เก็งกำไร และเป็นไปได้ที่นักลงทุนรายใหญ่ได้จังหวะจากการที่บริษัทฯ ประกาศข่าวตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ จุดพลุล่อแมลงเม่า

ในช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนใดที่ประกาศตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ ราคาหุ้นจะถูกลากขึ้นทันที จึงมีบริษัทจดทะเบียนประกาศทยอยตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ จนเป็นแฟชั่นใหม่ และคาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนอีกหลายแห่งประกาศตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ตามมาอีก

เพราะข่าวการตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ สามารถปั่นราคาหุ้นได้

หุ้น CWT แน่นิ่งมานานมาก แม้จะมีค่าพี/อี เรโช ประมาณ 9 เท่า และมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2561 มีกำไรสุทธิ 74.16 ล้านบาท ปี 2562 มีกำไรสุทธิ 105.26 ล้านบาท ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 117.03 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีกำไรสุทธิ 132.57 ล้านบาท

แต่บริษัทไม่จ่ายเงินปันผลมาหลายปี และอาจเป็นประเด็นที่ลดความน่าสนใจในตัวหุ้น

เพราะบริษัทจดทะเบียนที่มีผลกำไรควรจ่ายเงินปันผล เพื่อคืนผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น ผลประกอบการที่ดี ปัจจัยพื้นฐานที่พอใช้ได้ ไม่สามารถกระตุ้นให้หุ้น CWT เป็นหุ้นที่น่าสนใจ จนเกิดถามว่า ทำไมนักลงทุนจึงไม่เล่นหุ้นตัวนี้ และกลัวอะไรอยู่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม การประกาศตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ ได้สร้างจุดขายและปลุกความสนใจหุ้น CWT จนร้อนฉ่าขึ้นมา และไม่มีใครทำนายได้ว่า รอบนี้ราคาจะถูกลากขึ้นไปไกลขนาดไหน

หุ้นที่โหนกระแสขุดบิตคอยน์ มักจะถูกจุดพลุเก็งกำไรในช่วงสั้นเท่านั้น รวมทั้งหุ้นบริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA ซึ่งเรื่มปักหัวลงแล้ว

จะมีเพียงหุ้นบริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ถูกลากขึ้นไปแล้วไม่ยอมลง และยังคงมีการลากขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง

CWT ถูกลากจนพุ่งทะยานขึ้นมาแล้ว แต่นักลงทุนรายย่อยจะตามแห่เข้าไปเก็งกำไรหรือ เพราะหุ้นที่โหนกระแสบิตคอยน์ มักจะอายุสั้น เล่นกันไม่กี่วันเดี๋ยวก็เลิก

ตามแห่ CWT เข้าไปแล้ว ขายออกไม่ทัน อย่าร้องเหมือนนักลงทุนที่เจ็บหนักจาก ZIGA

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

TRUE – DTAC กอดคอร่วง นักลงทุนขายล็อกกำไร – หวั่นเสียงคัดค้านสังคม

TRUE – DTAC เปิดตลาดดิ่งลงกว่า 8% โบรกเกอร์ คาดนักลงทุนขายล็อกกำไร หลังประกาศข่าวความคืบหน้าควบรวมกิจการ – หวั่นผลกระทบสังคมออกมาคัดค้าน แต่ให้น้ำหนักควบรวมสำเร็จเพิ่มขึ้นเป็น 100%

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) วันนี้ (21 ก.พ.2565) เปิดตลาดปรับตัวลงต่อเนื่อง โดย TRUE ปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ 5.20 บาทต่อหุ้น ลดลง 0.50 บาท หรือ 8.77% ขณะที่ DTAC ทำจุดต่ำสุดที่ 48.25 บาท ลดลง 3 บาท หรือ 5.85%

ภายหลังวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ก.พ.65) ทั้ง 2 บริษัท เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการควบรวมกิจการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาหุ้น TRUE และ DTAC ที่ปรับตัวลงแรงเช้านี้ เกิดจากการขายทำกำไรตามข่าว (Sell on Fact) หลังปัจจัยบวก กล่าวคือ ความคืบหน้าเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ ถูกประกาศออกมาชัดเจนแล้ว

ขณะที่ระยะถัดไปคาดว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบ จากแรงคัดค้านของสังคม อาทิ นักวิชาการ องค์กรนอกภาครัฐ (NGO) ฝ่ายค้านรัฐบาลฯลฯ ส่งผลให้นักลงทุนขายล็อกกำไรออกมา อย่างไรก็ดี คาดว่าการปรับลงในลักษณะนี้ จะส่งผลให้ราคาหุ้นกลับมาฟื้นตัวได้แข็งแกร่ง

ดังนั้น การลงทุน จึงแนะนำ “ซื้อ” DTAC ที่ราคาเหมาะสม 57.52 บาทต่อหุ้น ขณะที่ TRUE แนะนำ “ถือ” ราคาเหมาะสม 5.64 บาทต่อหุ้น เนื่องจากราคาหุ้นบนกระดานเหลือโอกาสปรับขึ้น (อัพไซด์) จากราคาเหมาะสมไม่มากแล้ว

สำหรับมุมมองต่อดีลควบรวมกิจการ ให้น้ำหนักความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นจาก 80% มาเป็น 100% คาดว่าเสียงคัดค้านจากสังคมจะไม่รุนแรงพอที่จะทำให้ดีลดังกล่าวยุติลง เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่ได้รับผลกระทบจากราคาค่าโทรศัพท์ที่ยังค่อนข้างถูกในปัจจุบัน แต่ด้วยการแข่งขันที่ลดลง คาดว่าผลกระทบต่อผู้บริโภคจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business

ธ.ทิสโก้แนะถือกองทุนโลกเสมือน “ONE-METAVERSE” หวังสู้เงินเฟ้อ แม้ความเสี่ยงสูง

ธนาคารทิสโก้ ชี้ช่องลงทุนธุรกิจเมตาเวิร์ส ชี้แม้เศรษฐกิจผันผวน หรือแนวโน้มสถานการณ์เงินเฟ้อพุ่ง แต่กิจการที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ตามกระแสเมกะเทรนด์ของโลกที่ผู้บริโภคเชื่อมต่อผ่านทางโลกออนไลน์ ทั้งในเชิงของชีวิตประจำวัน ไลฟ์สไตล์ และโลกของการทำงาน

นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ธุรกิจเมตาเวิร์สกำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุน และปัจจุบันมีกองทุนรวมไทยหลายกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจดังกล่าว จนอาจทำให้ลูกค้าลังเลว่า จะตัดสินใจเลือกกองทุนใดถึงจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี จากประเด็นนี้ธนาคารทิสโก้แนะนำว่า ลูกค้าควรเลือกกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก (Active Management) ที่คล่องตัว รวมถึงควรกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายกองทุนอีทีเอฟ (ETF) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนที่เกิดขึ้น เนื่องจากธุรกิจเมตาเวิร์สเป็นธุรกิจเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว และมักจะมีข่าวดีใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ

กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในธุรกิจเมตาเวิร์สที่ธนาคารทิสโก้แนะนำและเป็นกองทุนเด่นในช่วงนี้คือ กองทุนเปิดวรรณ เมตาเวิร์ส อิควิตี้ (ONE-METAVERSE) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) กองทุนรวมตราสารทุน เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่ประกอบธุรกิจ มีรายได้ หรือได้รับประโยชน์จากธุรกิจทั้งในทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์ส (Metaverse) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Virtual Platform ธุรกิจในอุตสาหกรรม Social Media รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Communication Services

กองทุนอาจลงทุนในหน่วย CIS รวมถึงหน่วยลงทุนของกองทุน ETF ต่างประเทศ และผู้จัดการกองทุน บลจ.วรรณ สามารถเลือกลงทุนหุ้นรายตัวในบริษัทที่มีคุณสมบัติดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ กองทุน ONE-METAVERSE เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 14-22 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ธนาคารทิสโก้ และแอปพลิเคชัน TISCO My Wealth เท่านั้น โดยมีมูลค่าขั้นต่ำของการสั่งซื้อ 1,000 บาท

“สาเหตุที่ธนาคารทิสโก้แนะนำกองทุนเกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สในช่วงนี้ เพราะมองว่าไม่ว่าเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อจะเป็นเช่นไรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องตามกระแสเมกะเทรนด์ของโลกที่ผู้บริโภคเชื่อมต่อผ่านทางโลกออนไลน์ ทั้งในเชิงของชีวิตประจำวัน ไลฟ์สไตล์ และโลกของการทำงาน จากปัจจัยนี้ Ark Invest มองตรงกันว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สจะมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 จากปี 2564 ที่มีรายได้รวมเพียง 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ Bloomberg Consensus ที่ประเมินว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse จะพุ่งสูงขึ้นจาก 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 ไปแตะ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 3.4 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี หรือปีละ 13%” นางวรสินีกล่าว

และความพิเศษอีกจุดหนึ่งของกองทุน ONE-METAVERSE คือ มีความโดดเด่นตรงที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก (Active Management) ที่คล่องตัวค่อนข้างมาก โดยเปิดให้ผู้จัดการกองทุน บลจ.วรรณ คัดเลือกและปรับเปลี่ยนกองทุน ETF รวมถึงหุ้นรายตัวได้ตามสถานการณ์ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างกำไร และลดความเสี่ยงจากความผันผวนในบางช่วงเวลา ทำให้เมื่อสถานการณ์การลงทุนดีจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างมาก แต่เมื่อเกิดความผันผวนขึ้น ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับเปลี่ยนเป็นหุ้นที่มีความผันผวนต่ำเพื่อลดความเสี่ยง รวมทั้งสร้างความสมดุล (Balance) ให้พอร์ตการลงทุนได้ โดยกองทุนรวมต่างประเทศที่กองทุน ONE-METAVERSE เข้าลงทุนเกินกว่า 20% คือ ROUNDHILL BALL METAVERSE ETF และ Xtrackers MSCI World Communication Services UCITS ETF และผู้จัดการกองทุนอาจใช้ดุลพินิจลงทุนในหุ้นรายตัวตามสัดส่วนที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์

สำหรับตัวอย่างบริษัทที่กองทุนต่างประเทศข้างต้นเข้าไปลงทุน เช่น Sony Group Corp กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่มีธุรกิจหลากหลาย เช่น ธุรกิจวิดีโอเกม ธุรกิจเพลง ภาพยนตร์ การเงิน ประกันชีวิต และผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ NVIDIA บริษัทเทคโนโลยีที่ผลิตการ์ดจอ (GPU) ซึ่ง GPU ของ NVIDIA เป็นที่ยอมรับและใช้ในอุตสาหกรรม AI Computing และ Virtual Machines ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมเมตาเวิร์ส และ Matterport เป็นบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีข้อมูล Spatial Data โดยพยายามนำข้อมูล Spatial Data เช่น ภาพถ่าย 3D ต่างๆ มาทำให้เป็นในรูปโลกเสมือน (Digital Twins) เพื่อการสร้างมูลค่าสินทรัพย์ที่มากขึ้น

พิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ที่เปิดบัญชี และมียอดเงินลงทุนในกองทุน ONE-METAVERSE สะสมช่วง IPO ผ่านธนาคารทิสโก้ระหว่างวันที่ 14-22 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป รับฟรี แพกเกจฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โรงพยาบาลสมิติเวช จำนวน 1 เข็ม มูลค่า 1,490 บาท พร้อมรับบัตร Member Samitivej First ของโรงพยาบาลสมิติเวช

ทั้งนี้ กองทุน ONE-METAVERSE อาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน โดยผู้สนใจลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

เงินต่างชาติหนุนหุ้นไทยรีบาวด์จากตึงเครียด “รัสเซีย-ยูเครน” ปิดบวก 1.62 จุด

หุ้นไทยวันนี้เปิดตลาดภาคเช้าปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,703.60 จุด ก่อนรีบาวด์ปรับตัวขึ้น ปิดตลาดภาคเย็นที่ระดับ 1,713.20 จุด ปรับตัวขึ้น 1.62 จุด หรือ +0.09% ด้าน “บล.โนมูระ” ชี้ฟันด์โฟลว์ต่างชาติหนุนหุ้นไทย แม้ตลาดกังวลตึงเครียด “รัสเซีย-ยูเครน” ดุเดือด

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ค่อนข้างผันผวน โดยจะเห็นว่าดัชนีมีการปรับตัวขึ้นลงตลอดทั้งวัน โดยปัจจัยที่กดดันให้ดัชนีปรับฐานลงมานั้นมาจากความเสี่ยงในประเด็นตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งมีความไม่แน่นอนว่าสถานการณ์จะลุกลามไปสู่ภาวะสงครามหรือไม่ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณเรื่องกองกำลังทหารไม่ตรงกัน ซึ่งทางฝั่งของรัสเซียมีการส่งสัญญาณออกมาว่าได้มีการถอนกำลังทหารออกไปบางส่วนจากบริเวณชายแดน ขณะที่สหรัฐและพันธมิตรเหมือนจะเห็นต่างว่ากองกำลังทหารของฝั่งรัสเซียยังคงตรึงแนวชายแดนอย่างเข็มงวด

นอกจากนี้ยังมีประเด็นข่าวเรื่องผู้ช่วยทูตของสหรัฐประจำรัสเซียถูกส่งตัวกลับ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดเหวี่ยงผันผวนในวันนี้ ส่วนภาพของตลาดหุ้นไทยที่รีบาวด์ขึ้นมายังคงเป็นทิศทางบวกจากการที่นักลงทุนยังคาดหวังจากเม็ดเงิน (fundflow) ต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเยอะ รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าจึงทำให้ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายปรับตัวเป็นบวกขึ้นมาจนทำผลงานได้ดี (outperfrom) กว่าตลาดภูมิภาค โดยบวกในกรอบแคบๆ ที่ 1.62 จุด หรือ +0.09%

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance

สแกน “หุ้นส่งออกไทย” ตัวไหนรุ่งน่าลงทุน?

เศรษฐกิจไทยปี 2565 เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังถูกพิษโควิด-19 เล่นงานหนักมา 2 ปี แต่เมื่อโรคระบาดเริ่มคลี่คลาย จำนวนผู้ป่วยอาการหนักลดลง ขณะที่ยอดการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นำมาสู่การผ่อนคลายมาตรการคุมเข้ม ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ พร้อมกับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว โดยกระทรวงการคลังคาดจีดีพีไทยปีนี้เติบโตในกรอบ 3.5-4.5% หรือ มีค่ากลางที่ 4% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานต่ำของปี 2564 ซึ่งเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 1.2% จากปี 2563 ที่ติดลบ 6.1%

โดยมองว่าการใช้จ่าย การบริโภคในประเทศจะคึกคักขึ้น จากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ เช่น คนละครึ่ง, ช้อปดีมีคืน, เราเที่ยวด้วยกัน ฯลฯ ขณะเดียวกันรัฐพร้อมเร่งเครื่องการลงทุน หลังงานประมูลหลายโครงการล่าช้ามานาน ส่วนภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศ

แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์สำคัญที่สุดที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ ต้องยกตำแหน่งให้กับ “การส่งออก” ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้า

นอกจากนี้ ยังเป็นปีแรกที่ไทยจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีมูลค่าการค้ารวมกันมากกว่า 30% ของมูลค่าการค้าทั้งโลก ประกอบกับจะมีการฟื้นฟูการค้ากับตลาดใหม่ๆ อย่างซาอุดีอาระเบีย

แม้ตัวเลขส่งออกปีนี้อาจไม่ร้อนแรงเท่าปีที่ผ่านมาซึ่งเติบโตถึง 17% แต่ยังขยายตัวต่อเนื่อง รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเคาะตัวเลขไว้ที่ 3.6% ส่วนในมุมของเอกชนสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ประเมินว่าจะเติบโต 5-8% หรือ มีมูลค่าราว 284,880-293,020 ล้านดอลลาร์
โดยประเดิมเดือนแรก ม.ค. ทำรายได้เข้ามาแล้ว 22,000 ล้านดอลลาร์ จึงมั่นใจว่าการส่งออกไตรมาส 1 ปี 2565 จะเติบโตได้ 5% ตามเป้าแน่นอน แม้ทั่วโลกจะเผชิญกับการระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอมิครอน แต่แทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน

นำโดยกลุ่มน้ำตาลทราย, ยางพารา, น้ำมันเสร็จรูป, สิ่งทอ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เคมีภัณฑ์ และข้าว ที่จะเติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อน ส่วนพลาสติก, เครื่องจักรกล, ยานพาหนะและส่วนประกอบ, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, อาหาร, มันสำปะหลัง, เฟอร์นิเจอร์ คาดเติบโต 5-9% และกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ประเมินว่าจะเติบโตไม่เกิน 5%

หากอิงจากข้อมูลของ สรท. เชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีสำหรับหุ้นส่งออก ทั้ง “กลุ่มน้ำตาลทราย” ซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ 14 เซ็นต์ต่อปอนด์ แต่ปีนี้เคลื่อนไหวเฉลี่ยราว 18-20 เซ็นต์ต่อปอนด์ หลังผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากอินเดียซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลักประสบปัญหาเรื่องการขนส่ง

ไปดูในฝั่งของผู้ประกอบ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR ตั้งเป้ารายได้โต 50% จากดีมาน์ที่สูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ด้านบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS มั่นใจว่าจะเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ หลังปริมาณอ้อยปีนี้ออกมามากกว่าปีก่อน แถมคุณภาพดีกว่าจากฝนที่ตกชุก ทำให้ได้กากน้ำตาลไปผลิตเอทานอลมากขึ้น และได้ชานอ้อยป้อนให้โรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยมากขึ้นเช่นกัน

ส่วน “กลุ่มยางพารา” ได้อานิสงส์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ส่วนถุงมือยางแม้ยังมีความต้องการสูง แต่ถูกกดดันจากราคาที่ปรับตัวลดลง

โดยบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 28,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่คาดทำได้ 24,500 ล้านบาท

ด้าน “กลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วน” ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตั้งเป้ายอดผลิตรถยนต์ปีนี้ที่ 1.8 ล้านคัน จากปีก่อนที่ 1.68 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน จากปีก่อน 956,530 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 8 แสนคัน จากปีก่อน 729,175 คัน

โดยบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH มั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนแน่นอน ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่

“กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์” ที่ผ่านมาดิ่งหนักตามหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐ แต่เชื่อว่าในระยะยาวยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจจากการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล ขณะที่ปัญหาชิพขาดแคลนจะค่อยๆ คลี่คลาย

โดยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หุ้นส่งออกของไทยเป็นอีกกลุ่มที่น่าสะสมลงทุน เช่น KSL, NER, STA, SAT, CPF, TU เป็นต้น จากแนวโน้มการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับล่าสุด กนง. คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ช่วยให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่ามากเกินไปจนกดดันการส่งออกของไทยปีนี้

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business

ตลาดหุ้นออกโรงเตือนนักลงทุน เก็งกำไรหุ้นขุดเหมืองบิตคอยน์ด้วยความระมัดระวังจากความเสี่ยงราคาหุ้น

ตลาดหุ้นไทยออกโรงเตือนนักลงทุนรายย่อยเข้าเก็งกำไรในบริษัทจดทะเบียนที่ขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมการขุดเหมืองคริปโตฯ ชี้ราคามีความผันผวนรุนแรง หลาย บจ.ราคาหุ้น และ P/E Ratio พุ่งทะลุเกินปัจจัยพื้นฐานหลายเท่า หากเกิดปัจจัยลบเข้ากระทบอาจไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ เนื่องจากไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้กล่าวถึงสถานการณ์ของราคาหุ้นของ บจ.ที่เข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์ซึ่งมีความร้อนแรงในขณะนี้ว่า อาจมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะฉะนั้นขอให้นักลงทุนพิจารณาความเสี่ยงก่อนการลงทุนด้วยความระมัดระวัง ทั้งการซื้อและขาย โดยขอให้ศึกษาข้อเท็จจริงตลอดจนถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจขุดเหมืองเงินดิจิทัล ให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน

ขณะเดียวกัน ยังขอให้บริษัทสมาชิกทุกรายกำกับดูแลการซื้อขายและการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและเคร่งครัดเพื่อป้องกันภาวะการเก็งกำไรเกินควร และการส่งคำสั่งซื้อขายที่อาจไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

อย่างไรก็ดี ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า มีหลักทรัพย์ที่มีการลงทุนในธุรกิจขุดเหมืองเงินดิจิทัล และมีสภาพการซื้อขายในลักษณะเก็งกำไรสูงหรือราคา มูลค่าการซื้อขาย และอัตราการหมุนเวียนเปลี่ยนมือปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้บริษัทจดทะเบียนจะได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าไม่ได้มีสารสนเทศ หรือพัฒนาการที่สำคัญที่มีนัยสำคัญนอกเหนือจากที่แจ้งมาก่อนหน้านี้แล้วแต่อย่างใด เช่น หุ้น บมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น หรือ ZIGA ราคาเพิ่มขึ้นกว่า 89% ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 1,970 ล้านบาทต่อวัน และ บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น หรือ JTS ที่มีราคาพุ่งขึ้นกว่า 27% ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 363 ล้านบาทต่อวัน โดยเมื่อวันที่ 11 ก.พ.65 ที่ผ่านมา ทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกประกาศเตือนนักลงทุนผู้ถือหุ้น JTS ให้ไปใช้สิทธิออกเสียงกรณีเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์ โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเห็นว่า โครงการลงทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้

สำหรับการซื้อขายวันนี้ (14 ก.พ.) ตลท.ยังพบการเปลี่ยนแปลงที่สูงขึ้นของราคา มูลค่าการซื้อขายในอีกหลายหลักทรัพย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนในธุรกิจขุดเหมืองเงินดิจิทัล ได้แก่ บมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA) ที่ราคาขึ้นไปสูงสุดของเพดานซื้อขายรายวัน บมจ.ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย (UPA) ราคาปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 23.91% บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) ราคาเพิ่มขึ้น 20% และ บมจ.เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี (AJA) ราคาเพิ่มขึ้น 12.90% เป็นต้น ซึ่งสวนทางภาพรวมดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

“จุรินทร์”ถกเอกชน ทำแผนบุกตลาดซาอุดิอาระเบีย

“จุรินทร์”ถกเอกชนวางแผนบุกตลาดซาอุดิอาระเบีย ตั้งเป้าดันส่งออกปี 65 เพิ่ม 6.2% เล็งเป้าสินค้า 3 กลุ่มหลัก เกษตร อุตสาหกรรม และบริการ เน้น “ข้าว-ไก่” เป็นพิเศษ พร้อมเร่งตั้ง JTC ไทย-ซาอุดิอาระเบีย เป็นเวทีเจรจาการค้า ปูทางสู่การทำ FTA มอบจัดคณะผู้แทนการค้า ทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย สัมมนาให้ความรู้ และทำข้อมูลเชิงลึก

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับภาคเอกชนไทยที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคตลาดตะวันออกกลาง เพื่อหารือในการเตรียมความพร้อมเพื่อฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียภายหลังการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปซาอุดิอาระเบีย ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 6.2% จากปี 2564 ที่มีการส่งออกมูลค่า 51,500 ล้านบาท โดยได้วิเคราะห์ร่วมกันเห็นว่าสินค้าที่มีโอกาสในการส่งออก เป็นเป็นหมายในการผลักดันเพื่อทำรายได้เข้าประเทศ มีจำนวน 3 กลุ่ม คือ เกษตร อุตสาหกรรม และบริการ

สำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ เช่น อาหารฮาลาล ข้าว ไก่สด ผลไม้ เนื้อปลา กาแฟ ขนมจากน้ำตาล อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช อาหารสัตว์เลี้ยง ซอสปรุงรส อาหารแห่งอนาคต เป็นต้น สินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์และอุปกรณ์ ยางรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง เครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ และบริการ เช่น การให้บริการทางการแพทย์ โรงพยาบาล สถานพยาบาล โรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ สินค้าที่มีอนาคตมาก คือ ข้าว เพราะซาอุดิอาระเบียนำเข้า 100% นำเข้าปีละ 1.2-1.6 ล้านตัน 80% นำเข้าจากอินเดีย ที่เหลือนำเข้าจากปากีสถาน สหรัฐฯ เวียดนามและไทย โดยนำเข้าจากไทยน้อยมากแค่ 2% มีโอกาสเพิ่มได้ ส่วนไก่ ซาอุดิอาระเบียเลี้ยงเอง 60% บริโภคในปี 2563 ประมาณ 1.48 ล้านตัน นำเข้า 70% จากบราซิล ที่เหลือยูเครน และฝรั่งเศส ไทยมีศักยภาพส่งออกได้ แต่ยังติดขัดเรื่องตรวจรับรองโรงงาน โดยตรวจแล้ว 11 โรงงาน รอประกาศเป็นทางการ และติดปัญหาการรับรองตราฮาลาล ติดปัญหาการไม่ประกาศรับรองไทยปลอดไข้หวัดนก และการออกมาตรฐาน GSO 993 ที่รอประชุมคณะมนตรีความร่วมมือแห่งรัฐอ่าวอาหรับ 7 ประเทศ และมีซาอุดิอาระเบียรวมอยู่ด้วยที่จะรับรองมาตรฐาน ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กรมปศุสัตว์ ประสานกับทางการซาอุดิอาระเบีย เพื่อเร่งแก้ปัญหาที่ติดขัดให้จบ เพราะถ้าจบ ก็จะส่งออกไก่ได้ทันที ซึ่งเอกชนพร้อมอยู่แล้ว

นายจุรินทร์กล่าวว่า ยังได้เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อเป็นเวทีเจรจาการค้าระหว่างกันอย่างเป็นทางการ และนำไปสู่การจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนต้องการ และจะเร่งจัดคณะผู้แทนการค้าและนักธุรกิจจากไทยไปเยือนซาอุดีอาระเบีย และจากซาอุดีอาระเบียเยือนไทย เพื่อเจรจาการค้าและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทย บริการไทย ในตลาดซาอุดิอาระเบียในทุกรูปแบบ ทั้งการประชาสัมพันธ์สินค้าไทย การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในซาอุดิอาระเบีย การจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ และอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการซื้อขายมากที่สุด เร็วที่สุด รวมทั้งจะมีการจัดสัมมนาให้ข้อมูล ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ซึ่งจะมีการกำหนดรายละเอียดต่อไป และยังจะจัดทำระบบข้อมูลตลาดซาอุดิอาระเบียเชิงลึก โดยทูตพาณิชย์จะมีส่วนสำคัญร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กรมปศุสัตว์ และเตรียมศึกษา กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลให้เอกชนนำไปใช้ ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นเจ้าของเรื่องในการติดตาม ประสานงาน และให้บรรจุเป็นวาระในการประชุม กรอ.พาณิชย์ เพื่อติดตามความคืบหน้าด้วย

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความมั่นใจว่า หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยปลดล็อกปัญหาต่าง ๆ จะทำให้มีโอกาสมากมายที่จะช่วยเร่งรัดการส่งออกไปยังซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะสินค้าข้าว ที่มีจะส่งออกได้เพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะปัจจุบัน เริ่มมีคนไทยไปทำงานแล้ว ทำให้มีความต้องการบริโภคข้าวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกเหนือจากการบริโภคของชาวซาอุดิอาระเบียที่มีความต้องการอยู่แล้ว

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/business