FTE ปันผลหลัง Q3 โต 36%

ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง เผยผลประกอบการไตรมาส 3/65 รายได้ 292.06 ล้านบาท กำไรสุทธิโต 36.08% บอร์ดไฟเขียวปันผลระหว่างกาล 0.03 บาท/หุ้น ทิศทางไตรมาส 4/65 เติบโตต่อเนื่อง เตรียมส่งมอบงาน มูลค่ารวม 200 ล้านบาท ตุน Backlog 500 ล้านบาท พร้อมลุ้นผลประมูลงาน 20 โครงการ มูลค่า 450 ล้านบาท คาดรายได้ทั้งปีเติบโตมากกว่าปีก่อน

นายทักษิณ ตันติไพจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (FTE) ผู้นำธุรกิจนำเข้าและจำหน่าย บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 มีรายได้รวม 292.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 252.03 ล้านบาท จำนวน 40.03 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.88% และมีกำไรสุทธิ 15.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.53 ล้านบาท จำนวน 4.16 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36.08%

ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2565 บริษัทมีรายได้เลขเด็ด อาจารย์ดัง เข้าทุกงวดรวม 767.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 766.42 ล้านบาท จำนวน 0.69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.09% และมีกำไรสุทธิ 41.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 38.41 ล้านบาท จำนวน 3.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.67%

ทั้งนี้ ภาพรวมรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากลูกค้าแจ้งให้ทยอยส่งสินค้าเข้าไซต์ รวมถึงมีการสั่งสินค้าเพื่อสต๊อกมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทมีการปรับราคาสินค้าตามราคาต้นทุน จากการอ่อนค่าของเงินบาท

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราจ่ายปันผล 93.53% ของกำไรสุทธิงวดครึ่งปี 2565 (งบการเงินเฉพาะกิจการ) โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสดรวมทั้งสิ้น 17.80 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 ธันวาคม 2565

สำหรับทิศทางธุรกิจในไตรมาส 4 ปี 2565 แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทสามารถประมูลงานใหม่เพิ่มและดำเนินงานได้ตามแผน มีโครงการที่คาดว่าจะสำเร็จและส่งมอบ รวมถึงงานขายสินค้าที่จะมีการส่งของได้ในช่วงที่เหลือของปีมูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท

ปัจจุบันมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท แบ่งเป็นงานจัดจำหน่าย 150 ล้านบาท งานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง 350 ล้านบาท อีกทั้งอยู่ระหว่างรอผลประมูลงานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงเพิ่มเติมอีก 20 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 450 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานภาครัฐ-เอกชนต่อเนื่อง

“ธุรกิจของบริษัทมีการนำเข้าอุปกรณ์ต่างๆ จากต่างประเทศ ทำให้ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวโดยการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า รวมถึงการปรับกลยุทธ์การขาย นอกจากนี้ บริษัทวางแผนบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายให้รัดกุมมากขึ้นเพื่อรักษาอัตราการเติบโต ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการปีนี้เติบโตกว่าปีที่แล้ว และรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 6-7%” นายทักษิณ กล่าว

 

RML ชี้ Q3 ผลประกอบการดีขึ้น 75% ประกาศแผนปี 66 พร้อมเทิร์นอะราวนด์ เพิ่มฐานรายได้ประจำ

“ไรมอน แลนด์” เผยผลดำเนินงาน Q3/65 ขาดทุนลดลง 75% เมื่อเทียบกับ Q2/65 ชี้แนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ คอนโดฯ อัลตราลักชัวรีที่สร้างเสร็จและเริ่มโอนตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 65 ประกาศปี 66 มุ่งมั่นดันผลประกอบการ ‘เทิร์นอะราวนด์’ จากกลยุทธ์ Asset Light ช่วยลดต้นทุน ลดดอกเบี้ย และเตรียมเปิดให้บริการอาคารสำนักงานเกรดเอที่สูงที่สุดในไทย ‘วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์’ เพื่อหนุนฐานรายได้ประจำของบริษัทให้มีกระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่อง พร้อมปักธงเปิด Branded Residences อีก 2 โครงการ

นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) (RML) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2565 ของบริษัทฯ ขาดทุน 47.6 ล้านบาท ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ขาดทุน 193 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้จากแบ็กล็อกโครงการเดอะ ลอฟท์ สีลม และยังมีรายได้ประจำจากค่าบริหารโครงการ และค่าธรรมเนียมการตลาด ส่วนผลประกอบการเลขเด็ด อาจารย์ดัง เข้าทุกงวดดีขึ้นจากไตรมาสก่อนมาจากส่วนแบ่งกำไรโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ คอนโดฯ อัลตราลักชัวรี หนึ่งเดียวใจกลางถนนสุขุมวิท ที่สร้างเสร็จและเริ่มโอนตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งโครงการนี้อยู่ภายใต้การร่วมทุนระหว่างไรมอน แลนด์ และบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด โดยมียอดขายแล้วถึง 75% และเริ่มมีการทยอยโอนอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะทำยอดโอนได้ราว 2,000 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้

ส่วนอีกหนึ่งโครงการภายใต้การร่วมทุนกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ คือ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดมิเนียมลักชัวรีใจกลางสาทร มียอดขายแล้วกว่า 85% ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีเนื่องจากลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์ของทั้ง 2 บริษัท โดยไรมอน แลนด์ เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี และซูเปอร์ลักชัวรีที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญยาวนานกว่า 35 ปี และโตเกียว ทาเทโมโนะ เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน

ทั้งนี้ ในปี 2565 บริษัทจะทยอยรับรู้ยอดขายรอโอน (แบ็กล็อก) ซึ่ง ณ วันที่ 30 เดือนกันยายน บริษัทมีแบ็กล็อกมูลค่า 6,100 ล้านบาท โดยเป็นแบ็กล็อกจากโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ที่สร้างเสร็จพร้อมโอน มูลค่า 2,700 ล้านบาท และแบ็กล็อกโครงการระหว่างก่อสร้าง ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ มูลค่า 3,400 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องในปี 2566

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทมุ่งมั่นการเทิร์นอะราวนด์ให้รับรู้รายได้เร็ว สร้างสมดุลและกระจายรายได้ทั้งอสังหาฯ และรายได้ประจำมากขึ้น โดยต้นปีเตรียมเปิดให้บริการอาคารสำนักงานเกรดเอที่สูงที่สุดในไทย ‘วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์’ บนทำเลศักยภาพติดบีทีเอสเพลินจิต ซึ่งเป็นโครงการเมกะโปรเจกต์ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างไรมอน แลนด์ และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น หลังจากเปิดให้บริการจะเป็นปัจจัยหนุนให้ไรมอน แลนด์ มีรายได้ประจำและกระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง (Recurring Income)

 

นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นกลยุทธ์ธุรกิจ Asset light โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นเจ้าของที่ดิน นำที่ดินมาพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบ Branded Residence 2 แห่ง โดยปี 2566 ตั้งเป้ายอดขายบริษัทอยู่ที่ 8,200 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี สำหรับการลงทุนเปิดโครงการต่างๆ นั้น บริษัทมีแหล่งเงินทุนมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน การหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนในโครงการ และการออกหุ้นกู้ โดยบริษัทได้ยื่นไฟลิ่งสำหรับการออกหุ้นกู้ครั้งที่ 2 ในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา มูลค่ารวม 250 ล้านบาท ซึ่งจะขายในเดือนพฤจิกายนนี้ และมีแผนจะออกหุ้นกู้ครั้งที่ 3 มูลค่ารวมไม่เกิน 400 ล้านบาทภายในปลายปี 2565 ซึ่งทั้งหมดบริษัทคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีและได้รับความสนใจจากนักลงทุนเช่นเดียวกับหุ้นกู้ที่ออกเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่ารวม 1,050 ล้านบาท ที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท

ใช้ชีวิตหลังเกษียณให้สุขสมหวัง ด้วยสินเชื่อเพื่อข้าราชการบำนาญจากธนาคารทิสโก้ ดอกเบี้ยต่ำ-รับเงินทันที

สมหวัง เงินสั่งได้ ในกลุ่มธนาคารทิสโก้ มอบโอกาสให้ข้าราชการบำนาญได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณในแบบที่คุณต้องการ ด้วย “สินเชื่อเพื่อข้าราชการบำนาญ” จากธนาคารทิสโก้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ-รับเงินทันที ไม่ว่าคุณจะต้องการเงินไปปิดหนี้ดอกเบี้ยสูง เป็นเงินทุนการศึกษาสำหรับบุตรหลาน หรือนำเงินไปลงทุนต่อยอดธุรกิจเว็บหวยออนไลน์ ถูกกฎหมาย บาทละ 1000 เชื่อถือได้หลังเกษียณ ให้สินเชื่อเพื่อข้าราชการบำนาญมอบโอกาสให้คุณ

สำหรับสินเชื่อเพื่อข้าราชการบำนาญ มาพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้นปีแรก 3.5% ต่อปี ให้วงเงินสูงสุด 100% ตามที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองสิทธิบำเหน็จตกทอดที่ออกโดยกรมบัญชีกลาง โดยให้ระยะเวลาผ่อนชำระสินเชื่อนานสูงสุดถึง 30 ปี และผู้ขอสินเชื่อได้รับเงินไว ภายใน 1 วันทำการหลังอนุมัติ

ผู้ที่สนใจต้องเป็นผู้รับบำนาญรายเดือนจากกรมบัญชีกลาง โดยมีสิทธิในเงินบำเหน็จตกทอดเป็นหลักประกัน และใช้เอกสารประกอบการพิจารณาสินเชื่อสำหรับลูกค้า ดังนี้

• สำเนาบัตรประชาชนของผู้ขอสินเชื่อ

• สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขอสินเชื่อ

• สำเนาใบเปลี่ยนชื่อสกุล (ถ้ามี)

• หนังสือรับรองสิทธิบำเหน็จตกทอด เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกู้เงินตัวจริง

• สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีเงินฝากเพื่อรับวงเงินกู้

โปรโมชันพิเศษ! ยิ่งแนะนำมาก ยิ่งได้มาก สำหรับผู้ที่แนะนำจะได้รับเงินค่าแนะนำ 1,000 บาท/ราย และผู้ขอสินเชื่อจะได้รับฟรี! เครื่องวัดความดัน เมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อและรับวงเงินกู้ สำหรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษและโปรโมชันนี้ ผู้สนใจติดต่อได้ที่ธนาคารทิสโก้ หรือสาขาสมหวัง เงินสั่งได้ ทั่วประเทศ หรือคลิกสมัครได้ที่ https://link.somwang.co.th/1v7qwb หรือทาง LINE @Somwang ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ธันวาคม 2565

หมายเหตุ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด บริษัทเป็นตัวแทนการขาย โดยธนาคารทิสโก้เป็นผู้ให้สินเชื่อ

คาดไม่ต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV ฉุดมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์วูบหมื่นล้าน

Krungthai COMPASS ประเมินไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV ส่อฉุดมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลลดลงอย่างน้อย 1.05 หมื่นล้านบาท คาดตลาดปีนี้โต 3.3% ปีหน้าโตต่อเนื่องที่ 2.5%

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 Krungthai COMPASS ประเมินเบื้องต้นว่า การไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV มีโอกาสเป็น Downside ให้มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2566 ลดลงอย่างน้อย 10,500 ล้านบาท โดยผู้บริโภคที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากสุดคือ กลุ่มที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท ในสัญญา 2 และ 3 เป็นต้นไป ซึ่งหากอ้างอิงข้อมูลในอดีตพบว่าผู้บริโภคในกลุ่มนี้มีสัดส่วนราว 14% จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทั้งหมด

โดย Krungthai COMPASS มองตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2565-2566 ว่าจะอยู่ในทิศทางขยายตัวทั้งในฝั่งของความต้องการซื้อเว็บหวยออนไลน์ ถูกกฎหมาย บาทละ 1000 เชื่อถือได้จากการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจและการกลับมาของกำลังซื้อต่างชาติ เช่นเดียวกับการเปิดโครงการใหม่ ๆ ของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่จะกลับมาอยู่ในระดับปีละ 90,000-100,000 ยูนิต อีกครั้งเพื่อชดเชยการเปิดโครงการใหม่ในระดับต่ำเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ตลาดยังมี Downside จาก 1) ดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งเราประเมินว่าทุก ๆ การขึ้นดอกเบี้ย 1% จะทำให้มูลค่าที่อยู่อาศัยสูงสุดที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ลดลงไปราว 10% และทำให้ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยมีกำไรสุทธิลดลง -0.56% ผ่านต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

2) ต้นทุนพัฒนาโครงการที่ยังอยู่ในระดับสูง จากราคาวัสดุก่อสร้างที่ยังยืนสูง และราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และล่าสุดคือ 3) การสิ้นสุดลงของมาตรการผ่อนคลาย LTV ซึ่งส่งผลให้การกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2566 ทุกกรณี (ยกเว้นการซื้อที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 10 ล้านบาทในสัญญาแรก) ต้องกลับมาใช้เงินดาวน์ 10-30% ตามเดิม

ทั้งนี้ คาดตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2565 จะมีมูลค่า 6.04 แสนล้านบาท ขยายตัว 3.3%ต่อปี (YOY) และเติบโตต่อเนื่องที่ 2.5% YOY ในปี 2566 โดยมีแรงสนับสนุนหลักจาก 1) การขยายของเศรษฐกิจไทย 2) การกลับมาของกำลังซื้อต่างชาติ และ 3) แนวโน้มที่ภาครัฐจะขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนองไปอีก 1 ปี

หุ้นไทยแกร่ง คาดหวังเฟดลดความร้อนแรงปรับขึ้นดอกเบี้ย

หุ้นปิดเช้าลบ 1.20 จุด แกร่งกว่าภูมิภาคคาดหวังเฟดลดความร้อนแรงปรับขึ้นดอกเบี้ย สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายมีลุ้นดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวกได้จากแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มน้ำมัน

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าย่อตัวลงเล็กน้อย ถือว่าแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ตอบรับ Sentiment ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ตามคาดการณ์ แต่ยังมีความหวังว่าอาจเห็นการชะลอขึ้นครั้งหน้าเหลือ 0.50% ในเดือน ธ.ค.นี้ รวมถึงปัจจัยในประเทศแข็งแกร่ง และดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สพลิกกลับมาเป็นบวกได้บ้างแล้ว

ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,623.82 จุด ลดลง 1.20 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.07% มูลค่าการซื้อขายราว 27,891 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายมีลุ้นดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวกได้จากแรงเก็งกำไรในหุ้นเว็บหวยออนไลน์ ถูกกฎหมายขนาดใหญ่ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มน้ำมัน

โดยให้แนวรับไว้ที่ 1,610 จุด และแนวต้าน 1,630 จุด